เมอร์ฟี่ – รูนี่ย์ จวกการเปลี่ยนตัวของมาเรสก้า หลัง เชลซี พ่ายแมนฯ ยูไนเต็ด 1-2

Browse By

ศึกพรีเมียร์ลีกเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา กลายเป็นอีกหนึ่งค่ำคืนที่ “เชลซี” ต้องกลับไปทบทวนอย่างหนัก หลังจากบุกไปพ่าย “แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด” 1-2 ที่โอลด์ แทรฟฟอร์ด แม้จะครองบอลได้เหนือกว่า แต่กลับเสียการควบคุมเกมในช่วงท้ายจนไม่สามารถกลับมาได้

สิ่งที่ถูกพูดถึงมากที่สุดหลังเกม ไม่ใช่แค่ฟอร์มการเล่นของนักเตะหรือจังหวะพลาดในแนวรับ แต่คือ การตัดสินใจเปลี่ยนตัวของ เอ็นโซ่ มาเรสก้า ผู้จัดการทีมเชลซี ที่เลือกถอดผู้เล่นตัวรุกออกในช่วงที่ทีมต้องการประตูตีเสมอ

สองอดีตสตาร์พรีเมียร์ลีกอย่าง แดนนี่ เมอร์ฟี่ และ เวย์น รูนี่ย์ จึงออกมาวิจารณ์อย่างตรงไปตรงมา โดยมองว่าการตัดสินใจของมาเรสก้าในจังหวะสำคัญ “ไม่ตอบโจทย์สถานการณ์” และ “ขาดความกล้าในการเสี่ยง” ทั้งที่ทีมยังมีโอกาสกลับมาสู่เกมได้

เหตุการณ์ในเกม: เมื่อแท็กติกกลับกลายเป็นจุดเปลี่ยน

เชลซีภายใต้การคุมทีมของมาเรสก้า เริ่มเกมได้อย่างมั่นใจ ใช้การครองบอลจากแดนหลัง และพยายามเปิดพื้นที่ทางฝั่งซ้ายให้ โคล พาล์มเมอร์ ได้สร้างสรรค์เกม แต่หลังจากโดน แมนฯ ยูไนเต็ด ยิงนำตั้งแต่ครึ่งแรก ทีมกลับดูเสียความมั่นใจ

สิ่งที่สร้างความประหลาดใจให้แฟนบอลคือ ช่วงนาทีที่ 65 — มาเรสก้าเลือกถอด นิโกลัส แจ็กสัน ออก แล้วส่ง เลสลี่ อูโกชุกวู ลงมาเพิ่มความเหนียวในแดนกลาง ทั้งที่ทีมกำลังตามหลังอยู่ 1-2

แทนที่ทีมจะเพิ่มตัวรุกเพื่อบุกกดดันในช่วงท้าย กลับเลือกแนวทางที่ดู “ระวังเกินไป” ทำให้แนวรุกขาดความหลากหลายและไม่มีเป้าหมายในกรอบเขตโทษ จนสุดท้ายไม่สามารถสร้างโอกาสจบสกอร์ที่มีคุณภาพได้เลยใน 20 นาทีสุดท้าย


เมอร์ฟี่ ชี้ “มาเรสก้าคิดเยอะเกินไป”

แดนนี่ เมอร์ฟี่ อดีตกองกลางลิเวอร์พูล และนักวิเคราะห์ชื่อดังของ BBC Sport ได้แสดงความเห็นหลังเกมว่า

“มาเรสก้าเป็นโค้ชที่มีแนวคิดทันสมัย แต่บางครั้งเขาคิดเยอะเกินไป ฟุตบอลในบางจังหวะมันต้องใช้ ‘สัญชาตญาณ’ มากกว่าแผนการ”

เมอร์ฟี่มองว่าการถอดกองหน้าออกในช่วงเวลาที่ทีมต้องการประตู เป็นการส่งสัญญาณที่ผิดไปยังนักเตะในสนาม และยังลดแรงขับเคลื่อนเชิงจิตวิทยา เพราะผู้เล่นตัวรุกที่เหลือรู้ว่าทีมไม่มีตัวจบสกอร์โดยธรรมชาติอยู่ในสนาม

เขากล่าวเสริมว่า “ถ้ามี แจ็กสัน อยู่ในสนามจนจบเกม เชลซีอาจได้ลูกเสมอจากจังหวะครอสหรือบอลยาวช่วงท้าย แต่เมื่อเขาออกไป เกมก็ขาดความคาดเดาไม่ได้ทันที”


รูนี่ย์ เสริม “เชลซีขาดความกล้าในช่วงเวลาที่ต้องเสี่ยง”

เวย์น รูนี่ย์ อดีตดาวยิงแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และปัจจุบันเป็นกูรูในรายการ “Match of the Day” ของ BBC ได้เสริมความคิดเห็นต่อเรื่องนี้ว่า

“ผมเข้าใจว่ามาเรสก้าอยากคุมจังหวะเกม แต่ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกต้องใช้ความกล้าในช่วงท้าย โดยเฉพาะเมื่อคุณตามหลัง 1-2 การถอดกองหน้าออกเป็นสิ่งที่ไม่สมเหตุสมผลเลยในสถานการณ์นั้น”

รูนี่ย์ยังกล่าวถึงแท็กติกของมาเรสก้าในภาพรวมว่า “เชลซีเล่นสวยแต่ไม่เด็ดขาด” และเชื่อว่าหากทีมยังขาดสัญชาตญาณแห่งการจบสกอร์แบบทีมใหญ่ จะยากที่จะก้าวขึ้นมาท้าทายตำแหน่งท็อปโฟร์ในระยะสั้น


แฟนบอลเดือด: โซเชียลเต็มไปด้วยคำถาม

หลังเกมจบ เพจและโซเชียลมีเดียของเชลซีถูกถล่มด้วยความคิดเห็นจากแฟนบอลจำนวนมากที่ไม่เข้าใจการเปลี่ยนตัวของผู้จัดการทีม

บางคนโพสต์ว่า “ทำไมเราถึงเล่นเพื่อป้องกันเมื่อเราตามหลังอยู่?”
อีกหลายคนบอกว่า “เราต้องการผู้จัดการที่กล้ากว่านี้ ไม่ใช่เล่นเพื่อแพ้ให้น้อยที่สุด”

แม้จะมีแฟนบอลบางส่วนออกมาปกป้อง โดยชี้ว่าทีมยังอยู่ในช่วงปรับระบบ แต่กระแสส่วนใหญ่เห็นพ้องกันว่าการตัดสินใจในเกมนี้สะท้อนให้เห็นถึง “ความลังเลเชิงแท็กติก” ที่อาจกลายเป็นอุปสรรคใหญ่ของมาเรสก้าในระยะยาว


มาเรสก้า ชี้แจงหลังเกม: “ผมต้องการสมดุลของทีม”

ในการแถลงข่าวหลังเกม เอ็นโซ่ มาเรสก้า พยายามอธิบายเหตุผลในการเปลี่ยนตัวว่า

“ตอนนั้นทีมเสียพื้นที่ตรงกลางมากเกินไป ผมต้องการสมดุลและพลังในการแย่งบอลคืน เพื่อให้เราสามารถครองบอลกลับมาได้เร็วขึ้น”

อย่างไรก็ตาม คำอธิบายนี้ไม่ได้ช่วยลดเสียงวิจารณ์เท่าไรนัก เพราะในมุมของแฟนบอลและผู้วิเคราะห์เกม การครองบอลโดยไม่มีการจบสกอร์ถือเป็น “ภาพลวงตาของการควบคุมเกม” ซึ่งไม่ได้สะท้อนถึงโอกาสจริงในการทำประตู

นักวิเคราะห์หลายคนชี้ว่า การตัดสินใจของมาเรสก้าเป็น “การเล่นเพื่อไม่แพ้เยอะ” มากกว่าการพยายามตีเสมอ ซึ่งเป็นจุดที่ทำให้แฟนบอลรู้สึกว่าทีมยังขาดความดุดันของทีมใหญ่ที่แท้จริง


วิเคราะห์มุมแท็กติก: “มาเรสก้าใช้แผนถูกแต่เวลาผิด”

ในมุมมอง ซึ่งมีทีมวิเคราะห์ข้อมูลเกมฟุตบอลระดับมืออาชีพ ได้วิเคราะห์การเปลี่ยนตัวของมาเรสก้าว่า “แผนการของเขามีเหตุผลในเชิงเทคนิค แต่ใช้ผิดจังหวะเวลา”

ระบบของเชลซีในช่วงนั้นพยายามเปลี่ยนจาก 4-2-3-1 มาเป็น 4-3-3 เพื่อให้แดนกลางแน่นขึ้นและสกัดการสวนกลับของแมนฯ ยูไนเต็ด แต่การทำเช่นนั้นในช่วงที่ทีมกำลังไล่ตามประตูถือเป็นการลดความเสี่ยงที่มากเกินไป

คาสิโน ufabet เว็บตรง ครบทุกเกมเดิมพัน วิเคราะห์เพิ่มเติมว่า การเดิมพันในช่วงสด (Live Odds) ของเกมนี้สะท้อนมุมมองเดียวกัน — อัตราต่อรองของเชลซีที่จะทำประตูในช่วง 15 นาทีสุดท้ายตกลงกว่า 40% ทันทีหลังแจ็กสันถูกเปลี่ยนออก ซึ่งบ่งชี้ว่าตลาดมองว่าทีมขาดศักยภาพในการทำประตูหลังการเปลี่ยนตัวครั้งนั้น


แท็กติกเชิงลึก: เชลซีขาด “ตัวกระตุ้น” ในเกมรุก

หนึ่งในจุดที่ทำให้เชลซีดูขาดพลังคือ การขาด “ตัวกระตุ้นเกมรุก” ที่สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงจากแดนกลางสู่แดนหน้า หลังจาก มาดูเอเก้ และ พาล์มเมอร์ ต้องแบกเกมรุกเพียงลำพัง

ในระบบของมาเรสก้า ผู้เล่นตัวรุกถูกจำกัดให้อยู่ในโครงสร้างการครองบอลที่ชัดเจนเกินไป ทำให้ทีมขาดความหลากหลายในการเข้าทำ เมื่อประกอบกับการถอดกองหน้าออก จึงทำให้ “ความกล้าในการเล่นบอลเสี่ยง” หายไปเกือบหมด

นักวิเคราะห์จาก Sky Sports ยังเสริมว่า การที่มาเรสก้าเลือกควบคุมจังหวะแทนที่จะเร่งเกม เป็นการสูญเสียโมเมนตัมของทีมอย่างสิ้นเชิง และเป็นตัวอย่างของ “แท็กติกที่ขัดกับสัญชาตญาณของฟุตบอลอังกฤษ” ที่เน้นความเร็วและแรงกดดันช่วงท้ายเกม


รูนี่ย์ย้อนความจำ: “ผมเคยอยู่ในสถานการณ์แบบนี้”

เวย์น รูนี่ย์ กล่าวเสริมในรายการหลังเกมว่า เขาเข้าใจความรู้สึกของผู้จัดการทีม แต่บางครั้ง “การกล้าตัดสินใจเสี่ยงคือสิ่งที่แยกโค้ชเก่งกับโค้ชธรรมดาออกจากกัน”

“ตอนผมเล่นให้ยูไนเต็ด เราเคยเจอเกมแบบนี้บ่อย แต่สิ่งที่ทำให้เฟอร์กูสันยิ่งใหญ่คือ เขาไม่กลัวที่จะเพิ่มกองหน้าในช่วงท้าย และมันมักได้ผลเพราะเราสร้างแรงกดดันต่อคู่แข่งจนเขารับไม่ไหว”

คำพูดนี้สะท้อนจิตวิญญาณของฟุตบอลอังกฤษอย่างแท้จริง — เกมที่ไม่ได้วัดกันแค่ระบบ แต่ยังวัดกันที่ความกล้าและแรงศรัทธาในเกมรุก ซึ่งเชลซีในตอนนี้ดูเหมือนจะขาดสิ่งนั้น


UFABET กับการสะท้อนมุมมองแฟนบอลทั่วโลก

ข้อมูลระบุว่า หลังจบเกม อัตราความเชื่อมั่นของแฟนบอลต่อการติดท็อปโฟร์ของเชลซีในตลาดเดิมพันระหว่างประเทศลดลงเล็กน้อย จาก 22% เหลือ 18% ภายใน 24 ชั่วโมง

นักวิเคราะห์ มองว่าปรากฏการณ์นี้ไม่ได้สะท้อนเพียงความผิดหวังในผลการแข่งขันเท่านั้น แต่เป็นการตั้งคำถามต่อแนวทางการเล่นของทีมในระยะยาว ว่าจะสามารถต่อยอดระบบบอลครองบอลของมาเรสก้าให้กลายเป็น “เกมที่เฉียบคมในพื้นที่สุดท้าย” ได้หรือไม่

ufabet บอลชุดออนไลน์ ราคาดีที่สุดยังระบุว่า การบริหารเกมของมาเรสก้าเป็นสิ่งที่นักเดิมพันและแฟนบอลให้ความสนใจมากขึ้น เพราะเชลซีเป็นทีมที่ “ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของโค้ชมากกว่าสถานการณ์ในสนาม”


บทเรียนที่เชลซีต้องเรียนรู้

การพ่ายแพ้ให้แมนฯ ยูไนเต็ดไม่ใช่จุดจบ แต่เป็นบทเรียนสำคัญสำหรับเชลซีในยุคมาเรสก้า ว่าการครองบอลอย่างเดียวไม่สามารถรับประกันชัยชนะได้ในพรีเมียร์ลีก

ทีมต้องการ “ตัวตัดสินเกม” ที่สามารถเปลี่ยนผลการแข่งขันได้ภายในเสี้ยววินาที และต้องมีความกล้าในการเสี่ยงมากกว่านี้เมื่ออยู่ในสถานการณ์เป็นรอง

แฟนบอลส่วนใหญ่ยังให้เวลาแก่ผู้จัดการทีมคนนี้ เพราะพวกเขาเห็นถึงแนวทางการเล่นที่มีระบบ แต่หากขาดผลลัพธ์ในสนาม ความอดทนอาจเริ่มลดลงเรื่อย ๆ


มุมมองเชิงจิตวิทยา: ความมั่นใจในห้องแต่งตัว

ภายในห้องแต่งตัวของเชลซีหลังเกม มีรายงานว่าบรรยากาศไม่ได้ตึงเครียดเกินไป แต่มีความผิดหวังอย่างเห็นได้ชัด ผู้เล่นบางคนรู้สึกว่าทีมควรกล้าเสี่ยงมากกว่านี้ โดยเฉพาะในช่วงท้ายเกมที่ยังมีเวลาเหลือพอจะตีเสมอ

นักจิตวิทยาการกีฬาเชื่อว่า เหตุการณ์แบบนี้อาจกลายเป็นจุดเปลี่ยนเชิงบวก หากมาเรสก้านำไปใช้เป็นแรงผลักดันในการปรับปรุงการบริหารเกมในอนาคต เพราะฟุตบอลไม่ใช่เพียงแค่แท็กติก แต่ยังเกี่ยวกับ “ความเชื่อ” และ “ความมั่นใจร่วมกัน” ของทั้งทีม


บทสรุป: เมื่อแท็กติกต้องสมดุลระหว่างความคิดกับหัวใจ

สิ่งที่แดนนี่ เมอร์ฟี่ และ เวย์น รูนี่ย์ วิจารณ์มาเรสก้า ไม่ใช่เพื่อโจมตีส่วนตัว แต่เป็นการเตือนว่า “ฟุตบอลคือเกมของช่วงเวลา”
บางครั้งคุณอาจมีแผนการเล่นที่สมบูรณ์แบบ แต่หากขาดความกล้าที่จะเปลี่ยนเกมในเวลาที่เหมาะสม ทุกอย่างอาจพังลงในเสี้ยววินาที

เชลซี ภายใต้มาเรสก้าอาจกำลังอยู่บนเส้นทางของการสร้างทีมใหม่ แต่สิ่งที่แฟนบอลต้องการเห็นคือ “หัวใจของทีมใหญ่” ที่กล้าเดินหน้าล่าชัย แม้ในวันที่ทุกอย่างดูไม่เข้าข้าง

และในมุมของ สมัคร ufabet ล่าสุด โปรโมชั่นจัดเต็ม เกมนี้ไม่ได้เป็นเพียงความพ่ายแพ้ธรรมดา แต่เป็น “สัญญาณเตือนเชิงกลยุทธ์” ว่าความคิดเชิงแท็กติกต้องมาพร้อมความกล้าเชิงจิตวิทยา หากเชลซีต้องการกลับสู่จุดสูงสุดของพรีเมียร์ลีกอีกครั้ง